ความหมายของสื่อวัสดุ
คำว่าวัสดุ หมายถึง สิ่งของที่มีขนาดเล็กบางอย่างมีความทนทานสูง แต่บางอย่างฉีกขาดแตกหักชำรุดเสียหายได้ง่าย เรียกว่า วัสดุสิ้นเปลือง เช่น กระดาษ กาว สี เชือก กิ่งไม้ ใบไม้ วัสดุมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการจำแนก เช่น วัสดุตามธรรมชาติ วัสดุประดิษฐ์ วัสดุถาวร วัสดุสิ้นเปลือง วัสดุแข็ง วัสดุเหลว วัสดุ2มิติ วัสดุ3มิติ เมื่อนำวัสดุเหล่านี้มาใช้ประกอบการเรียนการสอนจึงเรียกว่า “สื่อวัสดุ” ซึ่งเป็นสื่อขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการบรรจุเก็บเนื้อหาและถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางชนิดสื่อความหมายได้ด้วยตัวมันเอง เช่น แผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ โปสเตอร์ แต่บางชนิดมีขนาดเล็กมากต้องอาศัยเครื่องมืออุปกรณ์ในการฉายเพื่อขยายเนื้อหาสาระให้มีขนาดใหญ่ หรือเสียงดังขึ้นจึงจะสื่อความหมายอย่างชัดเจน เช่น ฟิล์ม สไลด์ ฟิล์มภาพยนตร์ เทปเสียง แผ่นโปร่งใส เป็นต้น
ข้อดีและข้อจำกัดของสื่อวัสดุ
ข้อดี
1.แสดงเนื้อหานามธรรมที่ยากต่อการเข้าใจให้เข้าใจง่ายขึ้น
2.สามารถผลิตได้ง่าย ต้นทุนการผลิตต่ำ
3.สะดวกรวดเร็วในการใช้งาน
2.สามารถผลิตได้ง่าย ต้นทุนการผลิตต่ำ
3.สะดวกรวดเร็วในการใช้งาน
ข้อจำกัด
1.ใช้ได้กับกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็กเท่านั้น
2.การออกแบบและการผลิตไม่ดี อาจทำให้ผู้เรียนเข้าใจยาก
2.การออกแบบและการผลิตไม่ดี อาจทำให้ผู้เรียนเข้าใจยาก
ประเภทของสื่อวัสดุ
สื่อวัสดุที่ใช้กับการเรียนการสอนในปัจจุบัน หากจำแนกตามคุณลักษณะที่ปรากฏให้เห็นมีดังนี้
1.สื่อวัสดุ 2 มิติ โดยทั่วไปหมายถึง สื่อวัสดุกราฟิกซึ่งมีรูปร่างบางแบนไม่มีความหนา มีองค์ประกอบสำคัญคือ รูปภาพ ตัวหนังสือ และสัญลักษณ์ สื่อเหล่านี้ได้แก่ กราฟ(graphs) แผนภุมิ(charts) ภาพพลิก(flipcharts) ภาพโฆษณา(posters) ภาพชุด(flash cards) แผ่นโปร่งใส(transparencies)
2.สื่อวัสดุ 3 มิติ เป็นสื่อที่สร้างมาจากวัสดุต่างๆ สามารถตั้งแสดงได้ด้วยตัวมันเอง ที่นิยมใช้กับกระบวนการเรียนการสอนได้แก่ หุ่นจำลอง(models) ของจริง(real objects) ของตัวอย่าง(specimens) ป้ายนิเทศ(bulletin board) กระดานแม่เหล็ก(magnify boards) ตู้อันตรทัศน์(diorama)
3.สื่อวัสดุอิเล็คทรอนิคส์ เป็นสื่อที่ใช้กับเคริองอิเล็คทรอนิคส์ ต่างๆมีทั้งประเภทเสียงอย่างเดียวและประเภทที่มีทั้งภาพและเสียงอยู่ด้วย เช่น เทปเสียง(tape) ม้วนดีวีทัศน์(video tape) แผ่นซีดี(CD-ROM) วีซีดี(VCD) ดีวีดี(DVD) เป็นต้น
สื่อวัสดุ 2 มิติ
โดยทั่วไปวัสดุ 2 มิติ ที่นิยมใช้ประกอบการเรียนการสอนมีมากมายหลายชนิด แต่สื่อวัสดุ 2 มิติ ซึ่งมองเห็นทางตา ส่วนมากอาศัยงานกราฟิกเป็นองค์ประกอบหลักในการกระตุ้นการรับรู้และการสื่อความหมาย
วัสดุกราฟิกเป็นสื่อที่ผู้เรียนสามารถรับรู้ได้ทางตาซึ่งถือว่าเป็นอวัยวะที่มีปริมาณการรับรู้มากที่สุดเมื่อเทียบกับการรับรู้ด้วยประสาทรับสัมผัสด้านอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เองวัสดุกราฟิกจึงมีบทบาทและมีความสำคัญต่อกระบวนการเรียนการสอนและการถ่ายทอดความรู้ สื่อวัสดุกราฟิกที่เห็นได้โดยทั่วไปมีหลายรูปแบบ เช่น โปสเตอร์ หนังสือ วารสาร ป้ายประกาศ ข้อความบนฉลากสินค้า ลวดลายเสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม สื่อการสอนต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นภาพเขียน สัญลักษณ์ และตัวอักษร
1.ความหมายของวัสดุกราฟิก
วัสดุกราฟิก หมายถึง ทัศน์วัสดุอย่างหนึ่งที่นำมาใช้ในการสื่อความหมายเพื่อแสดงสัญลักษณ์หรือความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง แนวคิด และเสริมความเข้าใจโดยอาศัยส่วนประกอบที่เป็นรูปภาพ สัญลักษณ์ แผนภาพ ฯลฯ วัสดุกราฟิกจัดว่าเป็นสื่อราคาถูก (Low Cost Media)และครูผู้สอนสามารถผลิตได้ด้วยตนเอง2. คุณค่าของวัสดุกราฟิก
วัสดุกราฟิกเป็นสื่อพื้นฐานที่นิยมใช้ประกอบการเรียนการสอนหรือการเผยแพร่ความรู้ทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากวัสดุกราฟิกมีคุณค่าหลายประการดังนี้
1. ราคาถูก
2. ครูผู้สอนสามารถผลิตได้ด้วยตนเอง
3. มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยตรง
4. เก็บรักษาง่าย ใช้ได้สะดวก
5. สามารถประยุกต์หรือใช้ประกอบกับสื่ออื่น ๆ ได้
วัสดุกราฟิกเป็นสื่อพื้นฐานที่นิยมใช้ประกอบการเรียนการสอนหรือการเผยแพร่ความรู้ทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากวัสดุกราฟิกมีคุณค่าหลายประการดังนี้
1. ราคาถูก
2. ครูผู้สอนสามารถผลิตได้ด้วยตนเอง
3. มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยตรง
4. เก็บรักษาง่าย ใช้ได้สะดวก
5. สามารถประยุกต์หรือใช้ประกอบกับสื่ออื่น ๆ ได้
3. ประโยชน์ของวัสดุกราฟิก
วัสดุกราฟิกมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ดังนี้
1. ช่วยให้ผู้สอนกับผู้เรียนเข้าใจความหมายได้ตรงกัน
2. ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีกว่าการฟังคำบรรยายเพียงอย่างเดียว
3. ประหยัดเวลา
4. ช่วยให้ผู้เรียนสนใจบทเรียนยิ่งขึ้น
5. ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาส มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน
6. ช่วยให้การอธิบายสิ่งที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่ายขึ้น4. ลักษณะของวัสดุกราฟิกที่ดี
สื่อวัสดุกราฟิกที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความง่ายต่อความเข้าใจ สามารถสื่อความหมายได้รวดเร็ว ชัดเจนทั้งรูปภาพ สัญลักษณ์ ตัวอักษะและถ้อยคำ
2. การออกแบบต้องคำนึงถึงการเรียนรู้โดยเรียงลำดับภาพ สัญลักษณ์และตัวอักษรตามลำดับขั้นตอน
3. ต้องมีการเน้นจุดเด่นโดยการใช้สี ขนาด รูปร่าง รูปทรง เส้น หรือทิศทาง เพื่อแบ่งแยกข้อมูลที่เป็นใจความสำคัญ
ให้เด่นกว่าข้อมูลอื่น ๆ
4. มีความเป็นเอกภาพทั้งเนื้อหาและรูปภาพ
5. มีความประณีต สวยงาม ตามคุณค่าของศิลปกรรม
วัสดุกราฟิกมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ดังนี้
1. ช่วยให้ผู้สอนกับผู้เรียนเข้าใจความหมายได้ตรงกัน
2. ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีกว่าการฟังคำบรรยายเพียงอย่างเดียว
3. ประหยัดเวลา
4. ช่วยให้ผู้เรียนสนใจบทเรียนยิ่งขึ้น
5. ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาส มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน
6. ช่วยให้การอธิบายสิ่งที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่ายขึ้น4. ลักษณะของวัสดุกราฟิกที่ดี
สื่อวัสดุกราฟิกที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความง่ายต่อความเข้าใจ สามารถสื่อความหมายได้รวดเร็ว ชัดเจนทั้งรูปภาพ สัญลักษณ์ ตัวอักษะและถ้อยคำ
2. การออกแบบต้องคำนึงถึงการเรียนรู้โดยเรียงลำดับภาพ สัญลักษณ์และตัวอักษรตามลำดับขั้นตอน
3. ต้องมีการเน้นจุดเด่นโดยการใช้สี ขนาด รูปร่าง รูปทรง เส้น หรือทิศทาง เพื่อแบ่งแยกข้อมูลที่เป็นใจความสำคัญ
ให้เด่นกว่าข้อมูลอื่น ๆ
4. มีความเป็นเอกภาพทั้งเนื้อหาและรูปภาพ
5. มีความประณีต สวยงาม ตามคุณค่าของศิลปกรรม
5. หลักการออกแบบวัสดุกราฟิก
การออกแบบวัสดุกราฟิกให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการสื่อความหมายควรยึดหลักการดังนี้
1. ตรงกับจุดมุ่งหมายของเนื้อหาวิชา
2. การออกแบบโดยการคำนึงถึงประโยชน์ที่จะนำไปใช้งานโดยมุ่งที่จะได้รับจากการใช้วัสดุกราฟิกเพื่อการสื่อความหมายสำคัญ
3. การออกแบบวัสดุกราฟิกควรมีลักษณะง่าย ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงรายละเอียดมากเกินไป และขบวนการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน
4. คำนึงถึงความประหยัดทั้งเงินงบประมาณและเวลาในการจัดทำ
5. มีสัดส่วนดี องค์ประกอบทั้งหมดกลมกลืน เช่น รูปแบบ พื้นผิว เส้น สี เป็นต้น
6. มีโครงสร้างที่เหมาะสม กลมกลืนกับวัฒนธรรม สังคม และมีความถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง
2. การออกแบบโดยการคำนึงถึงประโยชน์ที่จะนำไปใช้งานโดยมุ่งที่จะได้รับจากการใช้วัสดุกราฟิกเพื่อการสื่อความหมายสำคัญ
3. การออกแบบวัสดุกราฟิกควรมีลักษณะง่าย ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงรายละเอียดมากเกินไป และขบวนการผลิตไม่ยุ่งยากซับซ้อน
4. คำนึงถึงความประหยัดทั้งเงินงบประมาณและเวลาในการจัดทำ
5. มีสัดส่วนดี องค์ประกอบทั้งหมดกลมกลืน เช่น รูปแบบ พื้นผิว เส้น สี เป็นต้น
6. มีโครงสร้างที่เหมาะสม กลมกลืนกับวัฒนธรรม สังคม และมีความถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง
6. ข้อดีและข้อจำกัดของวัสดุกราฟิก
สื่อวัสดุกราฟิกมีข้อดีและข้อจำกัดต่อกระบวนการเรียนการสอนและการเรียนรู้ดังนี้
สื่อวัสดุกราฟิกมีข้อดีและข้อจำกัดต่อกระบวนการเรียนการสอนและการเรียนรู้ดังนี้
6.1 ข้อดี
1. สามารถแสดงเนื้อหาให้เข้าใจได้ง่ายและเปรียบเทียบเนื้อหาต่าง ๆ ได้ดี
2. สามารถผลิตได้ง่ายไม่จำเป็นต้องอาศัยความชำนาญพิเศษมากนัก
3. ต้นทุกในการผลิตมีราคาถูกกว่าสื่อประเภทอื่น
4. ใช้งานได้สะดวกรวดเร็วไม่ยุ่งยาก เก็บรักษาง่าย
5. ผู้เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น ทำแผนภูมิ จัดทำป้ายนิเทศ เป็นต้น
6.2 ข้อจำกัด
1. ใช้ได้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดเล็กเท่านั้น
2. การออกแบบในการผลิตไม่ดีอาจทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ยาก
3. วัสดุกราฟิกที่มีคุณภาพดีและสวยงามจำเป็นต้องใช้ผู้ชำนาญพิเศษมาช่วยในการผลิต7. ตัวอย่างสื่อวัสดุกราฟิก
1. สามารถแสดงเนื้อหาให้เข้าใจได้ง่ายและเปรียบเทียบเนื้อหาต่าง ๆ ได้ดี
2. สามารถผลิตได้ง่ายไม่จำเป็นต้องอาศัยความชำนาญพิเศษมากนัก
3. ต้นทุกในการผลิตมีราคาถูกกว่าสื่อประเภทอื่น
4. ใช้งานได้สะดวกรวดเร็วไม่ยุ่งยาก เก็บรักษาง่าย
5. ผู้เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น ทำแผนภูมิ จัดทำป้ายนิเทศ เป็นต้น
6.2 ข้อจำกัด
1. ใช้ได้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดเล็กเท่านั้น
2. การออกแบบในการผลิตไม่ดีอาจทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ยาก
3. วัสดุกราฟิกที่มีคุณภาพดีและสวยงามจำเป็นต้องใช้ผู้ชำนาญพิเศษมาช่วยในการผลิต7. ตัวอย่างสื่อวัสดุกราฟิก
วัสดุกราฟิกชนิดต่าง ๆ ที่นิยมนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนมีดังนี้
7.1 แผนภูมิ (Charts)
แผนภูมิเป็นวัสดุประเภทกราฟิก ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ สัญลักษณ์ รูปภาพ และตัวอักษร ใช้ประกอบการบรรยาย ชี้แจง สรุปสาระสำคัญ เนื้อหาที่เหมาะสมกับสื่อแผนภูมิ ได้แก่ การเปรียบเทียบ ความต่อเนื่อง กระบวนการ ความสัมพันธ์ ขั้นตอน เป็นต้น
แผนภูมิเป็นวัสดุประเภทกราฟิก ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ สัญลักษณ์ รูปภาพ และตัวอักษร ใช้ประกอบการบรรยาย ชี้แจง สรุปสาระสำคัญ เนื้อหาที่เหมาะสมกับสื่อแผนภูมิ ได้แก่ การเปรียบเทียบ ความต่อเนื่อง กระบวนการ ความสัมพันธ์ ขั้นตอน เป็นต้น
7.1.1ลักษณะแผนภูมิที่ดี
1. เป็นแบบง่ายและแสดงแนวคิดเดียว
2. ขนาดใหญ่ อ่านง่าย ไม่แน่นเกินไป
3. ใช้สีเพื่อการเน้นเป็นสำคัญ
4. ภาพประกอบต้องเหมาะสม น่าสนใจ
5. เนื้อหาถูกต้องตามความเป็นจริง
6. เนื้อหาและคำบรรยายชัดเจน อ่านง่าย
7. มีการทบทวนในการใช้งานและการเก็บรักษา
7.1.2 เทคนิคการนำเสนอ
1. แผนภูมิต้องตรงกับเนื้อหา
2. ต้องติดตั้งหรือแขวนให้เรียบร้อย
3. อธิบายตามลำดับขั้นอย่างต่อเนื่อง
4. ขณะใช้แผนภูมิต้องหันหน้าเข้าหาผู้เรียน
5. จุดสนใจควรเน้นด้วยสี ขนาด การปิด-เปิด
6. ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมเสนอ
7. การชี้แผนภูมิควรใช้ไม้หรือวัสดุชี้
8. สามารถใช้ประกอบกับสื่ออื่น ๆ ได้
1. เป็นแบบง่ายและแสดงแนวคิดเดียว
2. ขนาดใหญ่ อ่านง่าย ไม่แน่นเกินไป
3. ใช้สีเพื่อการเน้นเป็นสำคัญ
4. ภาพประกอบต้องเหมาะสม น่าสนใจ
5. เนื้อหาถูกต้องตามความเป็นจริง
6. เนื้อหาและคำบรรยายชัดเจน อ่านง่าย
7. มีการทบทวนในการใช้งานและการเก็บรักษา
7.1.2 เทคนิคการนำเสนอ
1. แผนภูมิต้องตรงกับเนื้อหา
2. ต้องติดตั้งหรือแขวนให้เรียบร้อย
3. อธิบายตามลำดับขั้นอย่างต่อเนื่อง
4. ขณะใช้แผนภูมิต้องหันหน้าเข้าหาผู้เรียน
5. จุดสนใจควรเน้นด้วยสี ขนาด การปิด-เปิด
6. ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมเสนอ
7. การชี้แผนภูมิควรใช้ไม้หรือวัสดุชี้
8. สามารถใช้ประกอบกับสื่ออื่น ๆ ได้
7.1.3 ประเภทของแผนภูมิมี 9 ประเภท
1. แผนภูมิแบบต้นไม้ (Tree Charts) เหมาะกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์แสดงให้เห็นสิ่งหนึ่งๆ แยกออกเป็นหลายสิ่ง หรือการจำแนกโครงสร้างใหญ่ไปหาองค์ประกอบย่อย เช่น ประเภทของเครื่องดนตรี ประเภทของการคมนาคม อาหารหลัก 5 หมู่
1. แผนภูมิแบบต้นไม้ (Tree Charts) เหมาะกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์แสดงให้เห็นสิ่งหนึ่งๆ แยกออกเป็นหลายสิ่ง หรือการจำแนกโครงสร้างใหญ่ไปหาองค์ประกอบย่อย เช่น ประเภทของเครื่องดนตรี ประเภทของการคมนาคม อาหารหลัก 5 หมู่
แผนภูมิแสดงการคมนาคมแบ่งออกเป็น 3 ทาง คือ ทางอากาศ ทางน้ำและ ทางบก
2. แผนภูมิแบบสายธาร (Streem Charts) ใช้แสดงว่าสิ่งหนึ่ง ๆ เกิดจากหลายสิ่งมารวมกันจะมีลักษณะตรงกันข้ามกับแผนภูมิแบบต้นไม้ เช่นชิพ เมนบอร์ด จอภาพ ขนมปังเกิดจาก แป้ง ยีสต์ น้ำตาล ปัจจัย 4 เป็นต้น
ตัวอย่างแผนภูมิแบบสายธาร
ตัวอย่างแผนภูมิแบบสายธาร
3.แผนภูมิแบบต่อเนื่อง( Flow Charts) ใช้แสดงเรื่องราวกิจกรรม การทำงานเป็นขั้นตอนตามลำดับต่อเนื่อง ตลอดจนการแสดง วงจรชีวิตที่เป็นลำดับต่อเนื่อง เช่น วงจรชีวิตของผีเสื้อ
4 .แผนภูมิแบบองค์การ( Organization Charts) เป็นแผนภูมิที่ใช้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของสายงานในหน่วยงานหรือองค์การ นิยมใช้เส้นโยงความสัมพันธ์ ของหน่วยงานย่อย ที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงและใช้เส้นประ หรือเส้นจุดไข่ปลา แสดง ความสัมพันธ์ของหน่วยงานย่อยที่ เกี่ยวข้องกันโดยอ้อม เช่น แผนภูมิแสดงสายงานการบริหารโรงเรียน เป็นต้น
5.แผนภูมิแบบเปรียบเทียบ( Comparison Charts) เป็นแผนภูมิที่ใช้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งของสองสิ่งทางด้านรูปร่าง ลักษณะ ขนาด แนวความคิด ของสิ่งต่างๆ เช่น การเปรียบเทียบการแต่งกายในสมัยต่างๆ พืชใบเลี้ยงเดี่ยวกับใบเลี้ยงคู่ เป็นต้น
6.แผนภูมิตาราง (Tabular Charts) ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลา กับเหตุการณ์ เช่น ตารางเรียน ตารางเวลารถไฟเข้าออก เป็นต้น
7.แผนภูมิแบบวิวัฒนาการ( Developmental Charts) แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ต่อเนื่องกันเป็นลำดับ แต่ไม่ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีก
ตัวอย่างแผนภูมิแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการ
8.แผนภูมิแบบอธิบายภาพ (Pictorial Charts) ใช้ชี้แจงส่วนต่าง ๆ ของภาพให้เห็นชัดเจน เช่น
ส่วนประกอบของเครื่องยนต์ อวัยวะภายในของมนุษย์ ส่วนต่างๆ ของดอกไม้ เป็นต้น
ส่วนประกอบของเครื่องยนต์ อวัยวะภายในของมนุษย์ ส่วนต่างๆ ของดอกไม้ เป็นต้น
9. แผนภูมิขยายส่วน ( Enlarging Charts) ใช้แสดงส่วนที่ขยายจากส่วนเล็กๆที่ต้องการให้เห็นเด่นชัดขึ้น
7.2 แผนสถิติ (Graph)
แผนสถิติเป็นวัสดุลายเส้นที่เน้นการสื่อความหมายในเชิงปริมาณและตัวเลข แผนสถิติแต่ละเรื่องควรแจ้งที่มาของข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อถือ และเปิดโอกาสให้ศึกษาค้นคว้าต่อไปได้ง่ายขึ้น เนื้อหาที่เหมาะสมกับแผนสถิติ ได้แก่ ข้อมูลเชิงปริมาณ การเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
แผนสถิติเป็นวัสดุลายเส้นที่เน้นการสื่อความหมายในเชิงปริมาณและตัวเลข แผนสถิติแต่ละเรื่องควรแจ้งที่มาของข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อถือ และเปิดโอกาสให้ศึกษาค้นคว้าต่อไปได้ง่ายขึ้น เนื้อหาที่เหมาะสมกับแผนสถิติ ได้แก่ ข้อมูลเชิงปริมาณ การเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
7.2.1 ลักษณะแผนสถิติที่ดี
1. ตัวอักษร เส้น สี ต้องชัดเจน น่าสนใจ
2. มีลักษณะดูแล้วเข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
3. แสดงแหล่งที่มาของข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
4. ควรนำเสนอในลักษณะเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล
5. แสดงขอมูลในลักษณะประมาณมิใช่เน้นความถี่ของข้อมูล
1. ตัวอักษร เส้น สี ต้องชัดเจน น่าสนใจ
2. มีลักษณะดูแล้วเข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
3. แสดงแหล่งที่มาของข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
4. ควรนำเสนอในลักษณะเปรียบเทียบหรือแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล
5. แสดงขอมูลในลักษณะประมาณมิใช่เน้นความถี่ของข้อมูล
7.2.2 ประโยชน์ของแผนสถิติ
แผนสถิติมีประโยชน์ในกระบวนการเรียนการสอนดังนี้
1.ใช้แสดงข้อมูลของจำนวนที่มีลักษณะเป็นนามธรรมให้เข้าใจได้ง่าย
2.ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักการอ่าน วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลทางสถิติได้
3.ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาที่แปลงเป็นแผนสถิติได้นานขึ้น
4.ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้ข้อมูลทางสถิติในการแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
7.2.3 ข้อดีและข้อจำกัดของแผนสถิติ
การนำแผนสถิติมาใช้ประกอบการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงข้อดีและข้อจำกัดดังต่อไปนี้
7.2.3.1 ข้อดี
1.การแปลงข้อมูลนามธรรมเป็นรูปธรรม ทำให้เรียนรู้ง่ายขึ้น
2.ผู้เรียนสามารถเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างชัดเจน
3.ผู้สอนสามารถนำเสนอข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ
4.เป็นสื่อที่ผลิตง่าย ทำได้ทั้งด้วยมือละคอมพิวเตอร์
5.เป็นสื่อที่ใช้ประกอบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7.2.3.2 ข้อจำกัด
1.แผนสถิติที่ดีต้องวิเคราะห์ความสอดคล้องของเนื้อหาข้อมูลกับรูปแบบแผนสถิติอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นอาจทำให้การสื่อความหมายผิดพลาดได้
2.แผนสถิติที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องระมัดระวังในการใช้สี สัญลักษณ์ และข้อความกับรูปแบบของแผนสถิติเป็นอย่างดี
3.แผนสถิติที่มีข้อมูลถูกต้องต้องได้ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้เท่านั้น
7.2.4 เทคนิคการใช้แผนสถิติ
การใช้แผนสถิติประกอบการเรียนการสอนมีเทคนิควิธีดังนี้
1.ผู้สอนต้องอธิบายหรือบอกผู้เรียนล่วงหน้าว่าจะใช้แผนสถิติประกอบการเรียนเรื่องอะไร และมีวิธีอ่านข้อมูลถูกต้องอย่างไร
2.เลือกแผนสถิติที่เหมาะสมธรรมชาติของเนื้อหาข้อมูล
3.ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการใช้แผนสถิติ ในกระบวนการเรียนการสอนโดยอาจเป็นการชี้ การติดตั้ง การผลิต ตลอดจนการอภิปรายซักถาม และการเก็บรักษา
7.2.5 ชนิดของแผนสถิต
1.แผนสถิติแบบเส้น(Line Graph)
เป็นแบบที่แสดงข้อเท็จจริงของข้อมูลได้ละเอียดและถูกต้องที่สุด ลายเส้นที่แสดงอาจเสนอการเปลี่ยนแปลงชองข้อมูลเดียว หรือเปรียบเทียบหลายข้อมูลก็ได้ลักษณะประกอบด้วย เส้นแกนต้องและแกนนอนตั้งฉากกันอยู่ทั้งสองแกนแทนข้อมูลสองข้อมูลเกี่ยวข้องกัน
2.แผนสถิติแบบแท่ง(Bar Graph)
แผนสถิติแบบแท่ง เป็นแผนสถิติที่จัดทำได้ง่ายที่สุด และดูได้เข้าใจง่ายที่สุด โดย แสดงปริมาณหรือจำนวนของข้อมูลด้วยแท่งสี่เหลี่ยมซึ่งแต่ละแท่ง สี่เหลี่ยมแทนข้อมูลแต่ละข้อมูลมีขนาดกว้างเท่ากัน แต่ความสูงหรือความยาวของแท่งสี่เหลี่ยมแตกต่างกันซึ่งแผนสถิติแบบ แท่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบคือ
2.1 แผนสถิติชนิดแท่งเดี่ยว แสดงการเปรียบเทียบจำนวนหรือปริมาณของข้อมูลด้วยแท่งสี่เหลี่ยมแต่ละแท่งอาจอยู่ในแนวตั้งหรือ
แนวนอนก็ได้ แต่อยู่ในทิศทางเดียวกัน
แนวนอนก็ได้ แต่อยู่ในทิศทางเดียวกัน
2.2 แผนสถิติชนิดแบ่งส่วน ในแท่งสี่เหลี่ยมแต่ละแท่งแสดงจำนวนหรือปริมาณ ข้อมูลสองข้อมูลขึ้นไปโดยใช้สีเส้น หรือการแรเงาแสดงความแตกต่าง ของข้อมูลทั้งสอง
2.3 แผนสถิติชนิดสองด้าน ใช้เปรียบเทียบจำนวนของข้อมูลต่างๆ โดยแสดงเป็นแท่งสี่เหลี่ยมทั้งสองด้านของ เส้นแกน แล้วใช้สี เส้นหรือการแรเงา แสดงความแตกต่างของข้อมูลแต่ละข้อมูล
3.แผนสถิติแบบวงกลม (Circle Or Pie Graph)
ใช้แสดงอัตราส่วนที่เป็นร้อยละของข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบจำนวนหรือปริมาณ โดยแสดงเป็นภาพวงกลมซึ่งแทนจำนวนหรือปริมาณทั้งหมด (100 %) เท่ากับ 360 องศา แผนสถิติแบบวงกลมบางครั้งอาจทำเป็นชิ้นหนาและแบ่งชิ้นส่วนออกเป็นชิ้นย่อยๆ คล้ายกับขนมพายบางคนจึงเรียกว่า Pie Graph
ใช้แสดงอัตราส่วนที่เป็นร้อยละของข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบจำนวนหรือปริมาณ โดยแสดงเป็นภาพวงกลมซึ่งแทนจำนวนหรือปริมาณทั้งหมด (100 %) เท่ากับ 360 องศา แผนสถิติแบบวงกลมบางครั้งอาจทำเป็นชิ้นหนาและแบ่งชิ้นส่วนออกเป็นชิ้นย่อยๆ คล้ายกับขนมพายบางคนจึงเรียกว่า Pie Graph
4. แผนสถิติแบบรูปภาพ (Pictorial Graph)
ดัดแปลงมาจากแผนสถิติแบบแท่งโดยใช้ภาพลายเส้นง่ายๆ แสดงความหมายของ ข้อมูลแทนการใช้แท่งสี่เหลี่ยม ซึ่งแต่ละภาพมีรูปร่างเหมือนกันและขนาดเท่ากัน ภาพหนึ่งๆ แทนจำนวนหรือปริมาณของข้อมูลโดยกำหนดอัตราส่วนที่แน่นอน ข้อดีของแผนสถิติแบบนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจได้ดี เข้าใจง่ายและรวดเร็ว
ดัดแปลงมาจากแผนสถิติแบบแท่งโดยใช้ภาพลายเส้นง่ายๆ แสดงความหมายของ ข้อมูลแทนการใช้แท่งสี่เหลี่ยม ซึ่งแต่ละภาพมีรูปร่างเหมือนกันและขนาดเท่ากัน ภาพหนึ่งๆ แทนจำนวนหรือปริมาณของข้อมูลโดยกำหนดอัตราส่วนที่แน่นอน ข้อดีของแผนสถิติแบบนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจได้ดี เข้าใจง่ายและรวดเร็ว
5.แผนสถิติแบบพื้นที่ (Area Graph)
แผนสถิติแบบพื้นที่ เป็นแผนสถิติที่ใช้ขนาดของ พื้นที่ หรือรูปทรง เรขาคณิต แสดงปริมาณ ของข้อมูลต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบ จำนวน โดยอาจเกิด จากลายเส้น ของ แผนสถิติ แบบเส้น กับเส้นฐานแล้ว ระบายพื้นที่ เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ที่เกิดขึ้น หรือใช้รูปทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม แสดงปริมาณ เป็นภาพโครงร่าง ของสิ่งนั้นๆ เพื่อให้ผู้ดู เข้าใจได้ง่าย และรวดเร็ว
7.3 แผนภาพ(Diagrams)
แผนภาพเป็นทัศน์วัสดุที่ใช้ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น หรือเรื่องราว ต่างๆ โดยแสดงความสัมพันธ์ ของโครงสร้าง หรือการทำงานที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยอาศัยภาพลายเส้น ตัวอักษร สัญลักษณ์ เพื่อแสดง ลักษณะเฉพาะ หรือโครงสร้างที่สำคัญเท่านั้น
7.3.1 ลักษณะของแผนภาพที่ดี
แผนภาพที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1.มีรูปแบบง่ายๆ แสดงแนวความคิดเดียยว
2.ขนาดใหญ่พอสมควร รูปภาพ ตัวอักษร อ่านได้ชัดเจน
3.ใช้สีแสดงความแตกต่างและความเหมือนกัน
4.ควรใช้รูปภาพและสัญลักษณ์ให้มากกว่าตัวหนังสือ
7.3.2 เทคนิคการนำเสนอแผนภาพ
การใช้แผนภาพประกอบการเรียนการสอนให้ได้ผลดีควรมีวิธีดังนี
1.เลือกใช้แผนภาพที่ตรงกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการสอน
2. เตรียมห้องเรียน และเตรียมผู้เรียนโดยให้ศึกษาเนื้อหาล่วงหน้า
3. เสนอแผนภาพอย่างช้าๆ อธิบายให้ละเอียดและชัดเจน
4. ควรใช้ไม้ชี้ประกอบการอธิบาย
5. ใช้สื่อการสอนอื่นประกอบการใช้แผนภาพด้วย
7.3.3 ประเภทของแผนภาพ
แผนภาพแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
1.แผนภาพลายส้น เป็นแผนภาพที่ใช้ลายเส้น รูปทรง และข้อความประกอบกัน เหมาะสำหรับแสดง โครงสร้างทั้งภายในและภายนอก พร้อมกับมีเส้นโยงแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ทั้งลักษณะและตำแหน่ง และความสัมพันธ์ ของภาพที่แสดง
2.แผนภาพแบบบล็อก เป็นแผนภาพที่ใช้รูปทรงง่ายๆแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบอย่างหยาบๆ แสดงความสัมพันธ์ของระบบการทำงานที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยไม่เน้นรายละเอียดของการทำงาน
3.แผนภาพแบบรูปภาพ เป็นแผนภาพ ที่ใช้ลายเส้นเขียน เป็นภาพง่ายๆ แทนสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงต้องการให้ดูเหมือนหรือใกล้เคียงเท่านั้น ผู้ดูจะเกิด ความเข้าใจ ได้เองแผนภาพแบบนี้ จึงเหมาะ แก่การแสดงหลักการทำงาน ถ้าภาพ ที่วาดเหมือนจริง มากจะกลายเป็น แผนภูมิอธิบายภาพ
4.แผนภาพแบบผสม เป็นแผนภาพ ที่ใช้เทคนิค การเขียนลายเส้น บนรูปภาพเพื่อเน้นให้เห็นความสำคัญ เฉพาะ บางส่วน โดยเป็นการรวม ทั้งรูปภาพ และลายเส้น เข้าด้วยกัน
7.4 ภาพพลิก
ภาพพลิก เป็นทัศน์วัสดุ ที่เป็นชุด ของภาพถ่าย ภาพวาด แผนภูมิ หรือกราฟ ซึ่งนำมารวมเข้าเป็นเรื่องราว ให้มีความต่อเนื่อง สัมพันธ์กันตั้งแต่ต้นจนจบ จำนวนประมาณ 10 -15 แผ่น เหมาะสำหรับใช้ในการนำเสนอ สื่อที่เป็นเรื่องเป็นราว ใช้กับกลุ่มผู้เรียน ที่มีขนาดไม่เกิน 20 -30 คน ถ้าใช้นอก สถานที่ ควรมี ขาหยั่งสำหรับแขวนโดยเฉพาะ
7.5 ภาพโฆษณา (Posters)
ภาพโฆษณา เป็นทัศน์วัสดุที่ใช้แสดงความคิดหรือข้อเท็จจริงด้วยสัญลักษณ์ ภาพประกอบที่สะดุดตา คำขวัญที่กินใจ หรือคำอธิบายสั้นๆ โดยการออกแบบที่ดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็นในระยะเวลาอันสั้น สามารถเข้าใจได้ง่าย จดจำได้อย่างรวดเร็ว
7.5.1 ลักษณะของภาพโฆษณาที่ดี
1. มีจุดมุ่งหมายเดียว แน่นอน ออกแบบง่ายไม่ซับซ้อน
2. เร้าความสนใจผู้พบเห็น ด้วยภาพ ข้อความที่สะดุดตา สะดุดความคิด ชวนให้ติดตาม
3.ใช้ภาพประกอบง่าย สีเด่น สะดุดตา ชวนดู
4.ควรมีขนาดใหญ่ ประมาณ 22 - 44 นิ้ว
5.ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วและตรงประเด็น
6.ข้อความที่ใช้ควรกระชับ ตรงประเด็น เข้าใจง่าย ตรงใจผู้อ่าน ชวนให้คิด และมีขนาดที่เหมาะสม
7.5.2ประโยชน์ของภาพโฆษณาต่อการเรียนการสอน
1.ใช้เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนได้อย่างเป็นอย่างดี จะช่วยเร้าความสนใจผู้เรียน
2.ใช้เป็นเครื่องเตือนใจ กระตุ้น ระมัดระวัง ในการประพฤติปฏิบัติ
3.ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีภายในห้องเรียน
4.ใช้ประกาศข่าวสารต่างๆ
7.6 การ์ตูน
การ์ตูน เป็นภาพสัญลักษณ์ที่ใช้แทนสิ่งต่างๆ เช่น บุคคล สัตว์ หรือสิ่งของ เป็นต้น เพื่อถ่านทอดเรื่องราว ซึ่งเป็นแนวความคิดหรือทัศนะของผู้เขียน เพื่อจูงใน ให้แนวความคิด สร้างอารมณ์ขัน หรือล้อเลียน
7.6.1 ลักษณะของการ์ตูนที่ดี
1.แสดงภาพได้ตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการ ผู้ดูเข้าใจความหมายถูกต้องตรงกัน
2.ภาพที่เขียนต้องเป็นภาพง่ายๆ แสดงหรือให้รูปแบบเฉพาะที่ต้องการแสดงออกเท่านั้น
3.การ์ตูนแต่ละภาพควรให้ความหมายเดียวเท่านั้น
4.คำบรรยายควรสั้น กะทัดรัดแต่มีความหมาย
7.6.2 ประโยชน์ของการ์ตูนต่อการเรียนการสอน
1.ใช้เร้าความสนใจเพื่อช่วยในการนำเข้าสู่บทเรียน
2.ใช้อธิบายหรือประกอบการอธิบายให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้น
3.ใช้เป็นกิจกรรมของนักเรียนในระดับเด็กเล็ก
4.เป็นสื่อที่ช่วยสร้างบรรยากาศในห้องเรียน ผู้เรียนมีความสนุกสนาน และยังผ่อนคลายความตึงเครียดในการเรียนการสอนด้วย
7.6.3 การแบ่งประเภทการ์ตูน
1. การ์ตูน (Cartoons)
2. การ์ตูนต่อเนื่อง (Comic Strips)
3. การ์ตูนเรื่อง (Comic Books)
4. การ์ตูนลายเส้น (Stick Figures)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น